ในการทรงลาผนวช
วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499
ทรงจุดธูปเทียนเครื่องสักการะ
ทูลลาพระอัฐิ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
พระอัฐิ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ณ พระตำหนักใหญ่ วัดบวรนิเวศวิหาร
วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499
ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะ
ถวายบังคมพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4
ณ พระตำหนักใหญ่ วัดบวรนิเวศวิหาร
วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499
ทรงแถลงการลาผนวช ณ พระตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร
วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499
เสด็จฯ ไปยังพระตำหนักบัญจบเบญจมา ทูลลาสมเด็จฯ พระราชอุปัธยาจารย์
สมเด็จฯ ถวายสรงน้ำพระพุทธมนต์ ถวายพระพร
วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499
บนที่ประทับพระตำหนักทรงพรต วัดบวรนิเวศวิหาร ภายหลังทรงลาผนวชแล้ว
วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำเนินลงจากพระตำหนักปั้นหย่า
เสด็จฯ ออกจากวัดบวรนิเวศวิหาร ไปยังพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499
พระที่นั่งอัมพรสถาน
วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499
ก่อนหน้าพระราชพิธีทรงผนวชเพียงวันเดียว คือวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2499 อาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรุดหนักลงอย่างน่าวิตก มีพระอาการไข้สูงจนถึงไม่รู้สึกพระองค์ ปรอทขึ้นถึง 40 องศาเซลเซียสเศษ เป็นที่กังวลห่วงใยกันทั่วไปว่าจะไม่สามารถเสด็จไปทรงปฏิบัติหน้าที่พระราชอุปัธยาจารย์ในวันรุ่งขึ้น ครั้นถึงวันทรงผนวช สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากลับทรงฟื้นขึ้นเป็นปรกติอย่างน่าอัศจรรย์ และเสด็จไปทรงปฏิบัติหน้าที่พระราชอุปัธยาจารย์ได้ครบถ้วน แม้ว่าพระองค์จะต้องประทับอยู่ในพระราชพิธี ตั้งแต่เวลา 14:30 น. จนกระทั่งถึงเวลา 19:30 น. จึงเสด็จกลับถึงวัดบวรนิเวศวิหารพร้อมด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฝ่ามหาชนซึ่งแวดล้อมแน่นขนัดมาได้โดยเรียบร้อย รวมเป็นเวลาถึงห้าชั่วโมงก็ตาม ก็มิได้ทรงมีพระอาการผิดปรกติแต่อย่างใด แสดงให้เห็นถึงพระทัยอันเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งของพระองค์ในอันที่จะทรงปฏิบัติพระกรณียะอันสำคัญนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปให้จงได้ ทั้งนับได้ว่า เป็นพระบุญญาภินิหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยแท้
ขณะประทับรถยนต์พระที่นั่งกับพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจากพระบรมมหาราชวังถึงวัดบวรนิเวศวิหาร ได้มีการจัดรถหมอให้แล่นตามหลังรถพระที่นั่งและให้คอยสังเกตองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ถ้าเห็นพระเศียรฟุบก็ให้รีบเข้าไปแก้ไขทันที และครั้งหนึ่งได้เห็นพระเศียรฟุบลง รถหมอจะแทรกเข้าไปอยู่แล้ว ก็พอดีเห็นเงยพระเศียรขึ้นเป็นปกติเลยไม่เกิดอลหม่าน ทราบกันภายหลังว่า ทรงก้มลงหยิบอะไรบางอย่างที่ตกลงไป
เนื่องในการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงผนวชครั้งนี้ ได้ทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงพระคุณูปการอันอเนกของสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ พระสังฆราช ผู้ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่พระราชอุปัธยาจารย์ ทั้ง ๆ ที่มีพระอาการประชวรทุพพลภาพ ได้เอาพระทัยใส่ในอันที่จะถวายความรู้ทางพุทธศาสนาและถวายโอกาสให้ได้ทรงปฏิบัติสมณกิจให้ได้ผลเต็มตามภิกขุภาวะเป็นนานับปการ จึงได้มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีสถาปนาพระอิสริยศ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ขึ้น ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2499
ในโอกาสเดียวกันนี้ ยังมีพระเถรานุเถระที่ได้ปฏิบัติการสนองพระเดชพระคุณเป็นพิเศษ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา คือ
สมเด็จพระวันรัต (ปลด กิตฺติโสภโณ) สังฆนายก เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร พระอนุศาสนาจารย์ ดำรงสมณศักดิ์สุดขีดอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อวันพระราชพิธีฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 ได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 14 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระศาสนโศภน (จวน อุฏฐายี) เจ้าอาวาสวัดมกุฏกษัตริยาราม พระกรรมวาจาจารย์ โปรดให้เป็น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ต่อมาในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508 ได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 16 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พระพรหมมุนี วัดบวรนิเวศวิหาร ทำหน้าที่รับเสด็จดูแลแทนเจ้าอาวาสเป็นครั้งคราวที่เจ้าอาวาสประชวร แต่ดำรงสมณศักดิ์สูงอยู่แล้ว
พระโศภณคณาภรณ์ (เจริญ สุวฑฺฒโน ป.9) วัดบวรนิเวศวิหาร พระพี่เลี้ยงฉลองพระเดชพระคุณใกล้ชิดตลอดเวลา เป็นพระธรรมวราภรณ์ พระราชาคณะชั้นธรรม ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร และในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2532 ทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกคือสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ปัจจุบัน นับเป็นพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ส่วนพระราชาคณะในวัดบวรนิเวศวิหารรูปอื่น ๆ ก็ได้มีหน้าที่ถวายการสั่งสอนหรือสนองพระเดชพระคุณใกล้ชิดอย่างอื่น ๆ อีก ทุกรูปที่มีทางเลื่อนสมณศักดิ์ได้ก็โปรดพระราชทานเลื่อนขึ้นเป็นพิเศษในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาศก 2499 แล้วเหมือนกัน
อ้างอิง พระราชพิธีและพระราชกรณียกิจในการทรงพระผนวช 22 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน 2499
คณะกรรมการโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหารในพระบรมราชูปถัมภ์
จัดพิมพ์เนื่องในมหามงคลทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี