
เบี้ยแก้หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว
เบี้ยแก้วัดกลางบางแก้ว บทสัมภาษณ์ หลวงปู่เจือ เรื่องการสร้าง" เบี้ยแก้ "ตำนานวัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เจือ ปิยสีโล วัดกลางบางแก้ว ผู้สืบสานตำนานการสร้าง เบี้ยแก้ และวัตถุมงคลยาวาสนาจินดามณี พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง "หลวงปู่เจือ ปิยสีโล" วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม ผู้สืบสาน ตำนานการสร้างเบี้ยแก้ และวัตถุมงคลยาวาสนาจินดามณี" ตามตำรับของวัดกลางบางแก้ว ซึ่งมีอดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง หลวงปู่บุญ และหลวงพ่อเพิ่ม วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม เป็นต้นสาย ย้อนกลับปีพุทธศักราช 2310 ขณะที่กรุงศรีอยุธยากำลังรบกับข้าศึกอยู่ สมุดข่อยโบราณจากหลายวัดภายในพระนครศรีอยุธยาได้ถูกลำเลียงไปเก็บรักษาไว้ ณ วัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เป็นเหตุให้ตำราพระเวทและพิชัยสงครามสำคัญไปเจริญงอกงามอยู่ที่วัดกลางบางแก้ว
โดยเฉพาะสมัย "หลวงปู่บุญ ขันธโชติ" เป็นเจ้าอาวาสนั้น สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ถึงกับเสด็จไปศึกษาแลกเปลี่ยนวิชาอยู่บ่อยๆ พอสิ้นยุคสมัยหลวงปู่บุญองค์ความรู้เหล่านี้ได้ถูกสืบทอดผ่านหลวงปู่เพิ่ม จนมาสู่หลวงพ่อเจือ ปิยสีโล วัดกลางบางแก้ว "หลวงปู่เจือ" เป็นศิษย์พุทธาคมหลวงพ่อเพิ่ม ปัจจุบันได้นำวัสดุ เช่น เบี้ยต้องตามตำรา ปรอท ชันโรง นำมาสร้างเบี้ยแก้ ลงอักขระ บางตัวก็นำไปถักเชือกลงรักปิดทอง บางตัวก็ถักเชือกอย่างเดียว แต่ที่นิยมสุดในขณะนี้คือเบี้ยแก้ "เบี้ยเปลือย" ไร้รอยตะเข็บ ลูกศิษย์ที่เคารพนับถือและประชาชนที่มาบูชาเบี้ยไร้รอยตะเข็บ ให้ชื่อว่า "เบี้ยมหาอุด-อุตม์" มีความเชื่อว่าเมื่อนำไปพกพาแล้ว อุดสิ่งที่ไม่ดี ความทุกข์ยาก โรคภัยไข้เจ็บ ความยากจน และจะมหาอุตม์ความอุดมสมบูรณ์ ความร่ำรวย ความเป็นมหาเศรษฐี พรั่งพร้อมไปทุกสิ่งทุกอย่าง
ปัจจุบัน บรรดาลูกศิษย์ลูกหานำวัตถุมงคลต่างๆ ทั้งประเภทเครื่องรางของขลัง ให้หลวงพ่อเจือปลุกเสกมากมาย แต่ที่ฮอตสุดๆ คือ "เหรียญหล่อสัมฤทธิ์" ซึ่งเป็นเหรียญหล่อรูปเหมือนหลวงปู่เจือ ทางคณะศิษยานุศิษย์ได้รวบรวมแผ่นยันต์ แผ่นจาร ตะกรุด โลหธาตุที่เป็นมงคล ตั้งแต่ยุคโบราณ มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องใช้สำริดทองบางสะพาน เงินโบราณ ตามสูตรสายวัดสุทัศน์ เททองหล่อจำนวนไม่เยอะ ทุกองค์จะมีแกะคำว่ากรรมการ บางคนได้รับไปแล้วก็ไปให้ท่านจารอักขระ สนใจอยากมีไว้บูชาตรงไปที่วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม
ที่มา...
------------------------------------------------

เบี้ยแก้เปลือย หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว
หลวงปู่เจือ ปิยสีโล วัดกลางบางแก้ว
“หลวงปู่เจือ” ผู้สืบสานวิชาเบี้ยแก้ สายวัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เจือ ปิยสีโล รองเจ้าอาวาส วัดกลางบางแก้ว ต.นครชัยศรี อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษเกี่ยวกับขั้นตอนการทำ “ เบี้ยแก้ ” ที่มีผู้นำไปใช้แล้วต่างยืนยันว่า ป้องกันสัตว์มีพิษทุกชนิดไม่สามารถทำร้ายได้ ตลอดจน การป้องกันคุณไสยสารพัด ในยามปกติก็ใช้ในทางเมตตามหานิยม พร้อมทั้ง เผยแพร่วิชาการทำ“ เบี้ยแก้ ” ให้กับพระลูกศิษย์ไปแล้ว 5 รูป และนี่คือบทสัมภาษณ์พิเศษ ข้อมูล : จากหน้าพระเครื่อง คม ชัด ลึก มีนาคม 2545
ทีมข่าวพระเครื่อง * ตอนนี้หลวงปู่มีสุขภาพแข็งแรง...อายุเท่าไหร่แล้วครับ ?
หลวงปู่เจือวัดกลางบางแก้ว - อายุ 85 ปีแล้ว ไม่นานมานี้เอง
* หลวงปู่บวชตั้งแต่อายุเท่าไหร่ครับ ?
- เมื่ออาตมาอายุ 26 ปีก็ได้บวชเป็นพระ โดยมีความคิดว่า บวชให้ครบพรรษา แล้วก็จะสึก ไม่คิดว่าจะบวชยาวนานถึงขนาดนี้ หลังออกพรรษา ได้นัดวันสึกกับหลวงพ่อไว้แล้ว แต่พอถึงวันสึกจริงๆ หลวงพ่อกลับไม่อยู่ ก็เลยไม่ได้สึก ที่อยากสึกตอนนั้นก็เพราะใจยังอยากจะเที่ยว เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไป
* เหตุไฉนมีอะไรดลใจทำให้หลวงปู่ไม่คิดที่จะสึกจากการเป็นพระครับ ?
- เพราะได้ไปอ่านหนังสือสวดมนต์ที่มีอยู่ในวัดมากมาย จนสามารถท่องจำได้หลายสิบเล่ม เมื่อนึกจะสึกก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน เพราะได้อ่านหนังสือจนสามารถเข้าถึงรสพระธรรมได้อย่างถ่องแท้ ซึ่งกว่าจะอ่านให้เข้าใจได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน
* หลวงปู่คิดว่าจะมีอายุอยู่ถึง 100 ปีไหมครับ ?
- อาตมาว่าคงไม่ถึงหรอก
* เมื่อหลวงปู่อายุไม่ถึง 100 ปี วิชาที่ได้ร่ำเรียนมาหรือคาถาต่างๆมีการถ่ายทอดให้ใครบ้างครับ ?
- ส่วนใหญ่ก็ถ่ายทอดให้พระลูกศิษย์ในต่างจังหวัดไปบ้างแล้ว ประมาณ 5 รูป ที่จำได้เป็นพระอยู่ที่วัดประดู่ จ.สมุทรสงคราม วัดผานางคอย จ.อุบลราชธานี
* การถ่ายทอดวิชานั้น หลวงปู่มีขั้นตอนการเลือกลูกศิษย์อย่างไรครับ ?
- อาตมาไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์อะไร เพียงแต่ใครมีเจตนา ที่ต้องการจะเรียนวิชาก็จะสอนให้ส่วนจะเอาไปทำ “ เบี้ยแก้ ” หรือไม่นั้น ไม่เคยรู้
* พระเกจิอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ หลวงปู่คิดว่าจะสูญหายไปไหมครับ ?
- ของหลวงพ่อองค์อื่นๆไม่แน่ แต่ของอาตมารับรองไม่มีวันสูญ ใครอยากได้ก็จะสอนให้หมด
* พระที่มาเรียนกับหลวงปู่แล้วการทำ “ เบี้ยแก้ ” จะขลังเหมือนกับของหลวงปู่ไหมครับ ?
- อันนี้อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่าน่าจะใช้ได้ คงไม่แตกต่างกันนัก ถ้ามีการลงวิชาครบทุกอย่างตามตำรา
* วิชาการทำ “ เบี้ยแก้ ” หลวงปู่ไปเรียนมาจากอาจารย์ไหนครับ ?
- ได้เรียนรู้วิชา “ เบี้ยแก้ ” จาก หลวงปู่เพิ่ม อดีตเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว ซึ่งหลวงปู่เพิ่มได้วิชานี้มาจาก หลวงปู่บุญ อดีตเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว องค์ก่อนหน้าท่าน และหลวงปู่บุญได้เรียนมาจาก พระปลัดทอง อดีตเจ้าอาวาสองค์ถัดไปอีก จึงถือได้ว่าวิชา “ เบี้ยแก้ ” เป็นวิชาหลักเก่าแก่ของวัดกลางบางแก้วโดยตรง เมื่ออาตมาได้เรียนรู้แล้ว หลวงปู่เพิ่มได้ให้อาตมาฝึกทำเบี้ยแก้มาตลอด
* ลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่วัดขณะนี้มีผู้มาเรียนวิชา “ เบี้ยแก้ ” ไหมครับ ?
- ที่วัดนี้ยังไม่มีลูกศิษย์รูปไหนมาขอเรียนวิชา “ เบี้ยแก้ ” เลย
* “ เบี้ยแก้ ” ที่หลวงปู่ทำและปลุกเสกให้ชาวบ้านนำไปใช้นั้น มีดีอะไรครับ ?
- เท่าที่ลูกศิษย์นำไปใช้เขาก็บอกว่า ดีไปคนละอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันภัยจากงูหรือตะขาบ คนที่มี “ เบี้ยแก้ ” ติดตัว พวกงู ตะขาบ หรือ สัตว์มีพิษต่างๆจะไม่กัด การป้องกันคุณไสย ตลอดจนเป็นเมตตามหานิยมด้วย
* จุดประสงค์หลักที่หลวงปู่ทำ “ เบี้ยแก้ ” เพื่ออะไรครับ ?
- ที่สำคัญก็เพื่อ ต้องการรักษา และสืบทอดวิชา “ เบี้ยแก้ ” เอาไว้ให้กับลูกหลานสืบต่อกันไป เพราะว่ายังมีคนเห็นประโยชน์ของเบี้ยแก้ และมีคนจำนวนหนึ่งยังต้องการที่จะนำไปใช้ติดตัวในการแก้และกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น
* ขั้นตอนการทำ “ เบี้ยแก้ ” จนถึงการปลุกเสกต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?
- ขั้นแรกต้องหา “ หอยเบี้ย ” ซึ่งได้มาจากทะเลลึก ส่วนใหญ่ได้มาจาก จ.ภูเก็ต (ถ้าหากถูกต้องตามตำราต้องเป็น
“ หอยเบี้ย ” ที่มีฟันครบ 32 ซี่ ซึ่งหายากบางครั้งต้องอนุโลม) แล้วเอา “ ปรอท ” กรอกใส่ลงไปในตัว “ หอยเบี้ย ” ขณะกรอกใส่ต้องบริกรรมคาถาไปด้วย เสร็จแล้วอุดปาก “ หอยเบี้ย ” ด้วย “ ชันโรง ” ที่ได้มาจากประเทศลาว ( “ ชันโรง ” เป็นชื่อของ “ ผึ้ง ” ชนิดหนี่ง มี “ รัง ” เป็นยางเหนียวๆ สีน้ำตาลเข้มๆ จนถึงดำ เรียกว่า “ ชันโรง ” ส่วนใหญ่ทำรังบนต้นไม้ ชาวเรือเอาไปอุดรอยต่อของไม้กระดานเรือ สำหรับ “ ชันโรง ” ที่นำมาอุด “ หอยเบี้ย ” ตามตำรากำหนดต้องเป็น “ ชันโรง ” ที่ได้มาจากใต้ดิน และบริเวณนั้นต้องไม่มีต้นไม้ปกคลุมอยู่ด้วย)
เมื่ออุด “ ชันโรง ” แล้วก็นำ “ แผ่นตะกั่ว ” มาห่อหุ้มให้มิดชิด เสร็จแล้วลงอักขระลงบนแผ่นตะกั่ว แล้วจึงเอาไป “ ถักหุ้มด้วยเส้นด้าย ” อีกชั้นหนึ่งให้สวยงาม จากนั้นก็ลงรัก (สีดำๆ) เพื่อให้มั่นคงแข็งแรง บางคนก็ไม่นิยมลงรักก็มี
* ทำไมถึงต้องเอา “ ชันโรง ” จากประเทศลาวครับหลวงปู่ ?
- เพราะ “ ชันโรง ” ในเมืองไทยหมดไปแล้ว หาไม่ค่อยได้ แต่ที่ลาวมีผู้พบเห็นบ่อย “ ชันโรง ” ที่เห็นเป็นก้อนดำๆแบบนี้ เป็นรังของสัตว์ จำพวกแมลงที่เหมือนตัวผึ้งอยู่ใต้ดิน
* “ เบี้ยแก้ ” นอกจากมี “ หอยเบี้ย ” มีชันโรงแล้วทำไมต้องมีปรอท ด้วยครับ ถือเคล็ดอะไรหรือครับหลวงปู่ ?
- การที่ต้องมี “ ปรอท ” ใน “ เบี้ยแก้ ” ก็ด้วยความหมายว่า จะได้มีความว่องไวเหมือน “ ปรอท ” ใครก็จับไม่ได้ และ “ ปรอท ” จะเป็นตัวแก้เคล็ด อะไรได้หลายอย่าง รวมทั้งคุณไสย และโรคภัยไข้เจ็บ อย่างไข้ป่าก็ต้องแพ้พวก “ ปรอท ” แบบนี้ทั้งหมด
* “ เบี้ยแก้ ” จำเป็นไหมต้องปลุกเสกไหมครับ ?
- เป็นความเชื่อของคนโบราณ ที่ไม่ต้องมีการปลุกเสกก็ได้ แต่ของอาตมาจะปลุกเสกให้ทุกตัว ประกอบด้วยคาถา บารมี 10 ทัศน์ มีการใช้คาถาหลายอย่าง การปลุกเสก “ เบี้ยแก้ ” ต้องทำทีละตัว เขียนอักขระตัวหนึ่งก็ต้องว่าคาถาไปเรื่อย เวลากรอก “ ปรอท ” ก็ต้องว่าคาถา เมื่อหุ้มตะกั่วแล้วก็ต้องมาลงเหล็กจารตัวอักขระบนตะกั่ว และอาตมาต้องทำทุกวัน กว่าจะได้นอนก็ประมาณตี 2 ตี 3 เพราะช่วงนี้มีคนนิยมมาเช่าบูชา “ เบี้ยแก้ ” ที่นี่เป็นประจำ
สมัยก่อนอาตมาต้องถักด้ายหุ้ม “ เบี้ยแก้ ” ด้วยตัวเอง วันหนึ่งๆก็ถักได้ไม่กี่ตัว เพราะใช้เวลามาก ตอนหลังได้สอนให้ชาวบ้านหัดถัก จนเป็นกันหลายคนก็จ้างให้ชาวบ้านช่วยถักให้ คนไหนถักเก่งๆจะได้ 5-6 ตัวต่อวัน จึงสามารถทำ เบี้ยแก้ ได้ประมาณวันละ 20-30 ตัว แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของญาติโยม ซึ่งพากันมาเช่าบูชา “ เบี้ยแก้ ” วันละมากมาย มาจากที่ไกลๆก็มี...ไม่รู้เป็นอะไรอาตมายิ่งแก่ยิ่งต้องทำงานหนักมากขึ้น
* “ เบี้ยแก้ ” ของหลวงปู่จำเป็นต้องถักด้ายทุกตัวหรือไม่ครับ ?
- ถ้า “ เบี้ยแก้ ” ตัวไหนไม่มีด้ายถักหุ้มไว้ด้วย ความแข็งแรงคงทนก็จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะการถักด้ายจะมีการลงรักด้วย ทำให้ด้ายแข็งแรงคงทน และสามารถติด “ หู ” ไว้สำหรับแขวนติดตัวได้ด้วยไม่งั้นจะพกพาลำบาก แต่ปัจจุบันก็คงไม่มีปัญหาเพราะสามารถเอาไปเลี่ยมทั้งตัวได้เลย หลายปีก่อนตอนที่อาตมาถักด้ายหุ้มเอง ทำให้ไม่ทัน บางคนก็เอาไปทั้งๆที่ไม่มีด้ายถักไว้ก็มี
* หลวงปู่จ้างชาวบ้านถัก“ เบี้ยแก้ ” ตัวหนึ่งให้ค่าจ้างอย่างไรครับ ?
- ให้ตัวละ 50 บาท แต่กว่าจะถักตัวหนึ่งใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ซึ่งก็ดี เป็นการช่วยให้ชาวบ้านได้มีงานทำไปในตัว
* เวลาที่หลวงปู่กรอก “ ปรอท ” ลงในตัว “ หอยเบี้ย ” มีการป้องกันอันตรายอันตรายอะไรบ้างไหมครับ ?
- ไม่ได้ป้องกันอะไร เพราะทำมาไม่เห็นมีอันตรายอะไรเลย ซึ่งที่ผ่านมาหลวงปู่เพิ่มก็ทำมาจนอายู 98 ปีได้มรณภาพไป ก็ไม่เคยเห็นมีอันตรายอะไร
* “ เบี้ยแก้ ” ของหลวงปู่มีคุณวิเศษอย่างไรบ้างครับ ?
- ตามตำราสามารถกันในเรื่องของคุณไสย ไข้ป่า ผีสางนางไม้ รวมทั้งสัตว์ร้าย ไม่ต้องกลัว คนโบราณเชื่อว่า “ เบี้ยแก้ ” สามารถป้องกันคุณไสยและสิ่งเลวร้ายต่างๆได้
* “ เบี้ยแก้ ” ของหลวงปู่แตกต่างจาก “ เบี้ยแก้ ” วัดอื่นๆอย่างไรครับ ?
- มีความแตกต่างกันมาก บางสำนักเพิ่งเกิดขึ้นมาประมาณ 3-4 ปีมานี้เอง แต่สูตรของอาตมา ทำกันมาเป็นเวลา 100 ปีแล้ว และสาเหตุที่ไปช่วยหลวงปู่เพิ่มทำเบี้ยแก้นั้น เพราะพระสงฆ์ใหม่ๆไม่มีใครสนใจที่จะทำเลย พออาตมาเริ่มช่วยหลวงปู่เพิ่มทำ “ เบี้ยแก้ ” ก็เริ่มมีคนมาให้ทำกันมากมาย อาตมาเป็นลูกมือให้กับหลวงปู่เพิ่ม มาประมาณกว่า 40 ปี และมาทำเองจริงๆแบบครบวงจรอีกสิบกว่าปีเช่นกัน รวมแล้วก็ 50 ปีที่อาตมาได้ทำ “ เบี้ยแก้ ” มาจนถึงปัจจุบัน
* ทำไม เบี้ยแก้หลวงปู่เจือ ของหลวงปู่ถึงได้มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศครับ ?
- อันนี้อาตมา ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อาจเป็นเพราะ ผู้ที่นำเอาไปใช้แล้ว มีประสบการเหลือเชื่อในเรื่องต่างๆ แคล้วคลาดจากอันตราย หรือบางคนปวดหลัง ปวดแขน เมื่อมีการคลึงๆไปมาด้วย “ เบี้ยแก้ ” อาการที่ว่าก็หายไป มีบางคนเขาก็บอกว่า “ เบี้ยแก้ ” ของอาตมาช่วยแก้รถเสียให้วิ่งไปถึงบ้านได้ด้วย (หัวเราะ ) หลังจากนั้นเมื่อมีคนนำไปใช้แล้วดีจึงได้บอกกันต่อๆ
* ก่อนจะแขวน “ เบี้ยแก้ ” ติดตัวจะต้องมีคาถาสวดอะไรหรือเปล่าครับหลวงปู่ ?
- ไม่ต้องมีก็ได้ หรือ คาถาบูชาเบี้ยแก้ ถ้าจะอาราธนาก็ให้ตั้งนะโม 3 จบ ต่อด้วย อิติปิโส ภะคะวา ยาตรายามดี ได้ยามพระศรี สวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ จากนั้นก็ให้ว่าส่วนของคาถาหัวใจต่อ อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ พุทธะสังมิ อิสวาสุ
* ถ้านำ “ เบี้ยแก้ ” ไปลอดราวผ้าถุง รอดสะพานแล้วจะเสื่อมไหมครับ ?
- ไม่เสื่อม...! ของดีย่อมเป็นของดีอยู่วันยันค่ำ “ เบี้ยแก้ ” เปรียบเสมือน “ ทอง ” อยู่ที่ไหนอยู่กับใครก็ยังเป็น “ ทอง ” อยู่เสมอ เป็นคำสอนของหลวงปู่เพิ่ม เคยสอนไว้ ส่วนผู้ที่บอกว่า รอดราวตากผ้า แล้วไม่ดีนั้น อันนั้นเป็นความเชื่อของคนสมัยโบราณ สมัยนี้ความเชื่อของคนเราได้พัฒนาไปมากแล้ว
* หลวงปู่ทำ “ เบี้ยแก้ ” ทุกวันไม่รู้สึกเบื่อหรือครับ ?
- ไม่เบื่อ เพราะเมื่อมีคนนำไปใช้แล้วบอกว่าดี อาตมาก็มีกำลังใจที่จะทำต่อไป เพื่อเป็นการช่วยเหลือญาติโยมด้วย ถ้าหากไม่มีใครบอกว่าดี อาตมาก็คงเลิกทำไปนานแล้ว
* ถ้า “ เบี้ยแก้ ” แตกออกจากกัน ความขลังจะเสื่อมไหมครับ ?
- มันก็คงจะเสื่อมไปบ้าง ถ้า “ ปรอท ” ได้ออกไปแล้ว หรือ “ ชันโรง ” บางส่วนอาจละลายไปเมื่อถูกความร้อน ก็คงใช้ได้แม้จะไม่เต็มบริบูรณ์
* ทำไม “ เบี้ยแก้ ” ของหลวงปู่จึงมีด้ายถักหลายหลากสี ?
- ความจริงเรื่องของ “ ด้ายถักเบี้ยแก้ ” เป็นสิ่งประกอบภายหลัง เพื่อให้ตัว “ เบี้ยแก้ ” มีความมั่นคงแข็งแรงเท่านั้น จะใช้ด้ายสีอะไรก็ได้ สมัยก่อนใช้ด้ายสีขาวก็เพราะหาง่าย และการลงรักก็เพื่อให้แข็งแรงยิ่งๆขึ้น แต่สำหรับของอาตมา ในช่วงหลังมานี้ใช้ด้ายหลากสีก็เพื่อความสวยงามเท่านั้น ใครชอบสีอะไรก็เลือกได้ตามชอบใจ แต่ก็มีพุทธคุณเหมือนกัน
* หลายคนบอกว่า “ เบี้ยแก้ ” รุ่นเก่าจะดีกว่ารุ่นใหม่ หลวงปู่ว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่ครับ ?
- เหมือนกันจะนานเก่าแค่ไหนก็ดีเหมือนกัน เพราะสูตรที่ทำมีความเป็นหนึ่งเดียวเหมือนกัน ความขลังก็ยังคงขลัง โดยไม่มีความแตกต่าง เบี้ยแก้เก่าๆปรอทอาจจะไหลออกมา อักขระอาจจะเลือนไปบ้าง เมื่อขาดอย่างใดอย่างหนึ่งความขลังอาจจะน้อยลงก็ได้
ส่วนในเรื่องราคานั้นของเก่ามีน้อย หายากราคาย่อมแพงกว่า และผู้ขายเองก็ต้องการกำไรมากๆคงไม่มีใครขายของในราคาต้นทุนหรอก
* “ เบี้ยแก้ ” ของหลวงปู่จะใช้ได้ดีตอนไหนครับ ?
- ตอนไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ติดอยู่กับตัวก็ได้ ติดบ้านติดรถก็ได้ จะแคล้วคลาดปลอดภัยเสมอ และไปไหนมาไหนก็ใช้ได้ดีเหมือนกัน และไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ใช้ได้ ขนาดมีผู้หญิงบางคนขับรถชนกัน ยังไม่มีเรื่องราวอะไร สามารถตกลงกันได้ด้วยดี...เพราะ “ เบี้ยแก้ ” มีอานุภาพทางเมตตามหานิยมเหมือนกัน
* นอกจาก “ เบี้ยแก้ ” แล้วหลวงปู่ทำวัตถุมงคลอะไรอีกบ้างครับ ?
- ตะกรุด ก็เคยทำ แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากต้องใช้เวลาเพื่อจารอักขระในแผ่นทองเพื่อทำ ตะกรุด ทุกดอก ซึ่งใจจริงอาตมาก็ยังอยากทำ แต่อาตมาทำ “ เบี้ยแก้ ” อย่างเดียวก็หมดเวลาแล้ว ตอนนี้คนนิยม “ เบี้ยแก้ ” กันมาก อาจเป็นเพราะว่าทุกวันนี้ไม่มีใครทำ “ เบี้ยแก้ ” ก็ได้ จึงมาเอากันแต่ที่นี่ อีกอย่างตอนนี้สุขภาพของอาตมา ตอนนี้ไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ทำอะไรมากๆก็ไม่ค่อยได้
* คาถาที่ใช้ในการปลุกเสก “ เบี้ยแก้ ” ของหลวงปู่มีอะไรบ้างครับ ?
- คาถาที่ใช้ในการทำ “ ตะกรุด ” ของอาตมามีอยู่ประมาร 4-5 อย่าง เช่นคาถา 7 ตำนาน หัวใจธรณี เช่นเดียวกับการทำ “ เบี้ยแก้ ”
* หลวงปู่มีความเชื่อ เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในโลกนี้มีจริงไหมครับ ?
- อาตมาว่ามีอยู่จริงนะ เพียงแต่เรามองกันไม่เห็น บางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็ช่วยให้แคล้วคลาดได้ เพราะสิ่งเกิดขึ้นไม่น่าจะเป็นไปได้ ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อให้เห็น โดยมีปฏิกิริยา ตอบสนอง ที่คอยเตือนให้ระวังตัวก็มี ซึ่ง “ เบี้ยแก้ ” เองก็เป็นกึ่งเครื่องรางที่มีความศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครอง ผู้ที่มีติดตัวไว้เช่นเดียวกับวัตถุมงคลที่เป็นพระเครื่องต่างๆนั่นเอง
* เมื่อ “ เบี้ยแก้ ” เป็นกึ่งเครื่องรางของขลัง หลวงปู่คิดอย่างไร ที่ยังมีบางคน บอกว่าเป็น “ สิ่งงมงาย ”...ครับ ?
- ใครจะบอกว่า “ งมงาย ” ก็เป็นเรื่องของเขา มันต่างทัศนะกัน ต่างความคิดเห็นกัน ซึ่งทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะคิดเห็นอย่างไร เชื่ออะไรก็ได้ แต่คำพูดที่ว่า “ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ” ก็ยังใช้ได้อยู่ การมีของดีติดตัวย่อมอุ่นใจกว่าการไม่มีของดีติดตัวเลย... ของพวกนี้เป็นของดีและมีอยู่จริงไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีผู้ที่ยึดถือหรือแขวนไว้ติดตัวมาแต่โบราณกาล ก่อให้เกิดความศรัทธา และเป็นความเชื่อ ทำให้จิตใจมุ่งมั่นและมั่นคงไม่ว่าจะทำอะไร ส่วนคนที่มีจิตใจลังเล ไม่มั่นคง เมื่อมีสิ่งเหล่านี้ติดตัว ของที่มีอยู่ก็ใช้ไม่ได้ผล ที่ผ่านมาบางคนต้องขึ้นโรงขึ้นศาลยังพก“ เบี้ยแก้ ” ติดตัวเลย
* ทำไมเขาถึงพก “ เบี้ยแก้ ” ติดตัว ได้ผลอย่างไรหรือครับ ?
- อาตมาไม่ทราบว่าได้ผลแค่ไหน แต่คนที่นำเอาไปขึ้นศาลเขาบอกเพียงว่าได้ผล และหลายคนที่มาหา เขายังบอกอาตมาว่า นอกจากกันแมลงและสัตว์ร้ายแล้ว “ เบี้ยแก้ ” ยังช่วยให้เรื่องคอขาดบาดตายกลับกลายเป็นเรื่องดี ไม่เป็นอะไรเลย ใช้ “ เบี้ยแก้ ” แก้เคล็ดวิชาต่างๆในทางไม่ดีให้ดีขึ้นได้ ซึ่งเรื่องนี้มีผู้นำไปใช้แล้วได้ผลดี
********************************

หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว
ประวัติหลวงปู่เจือ ปิยสีโล วัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ชื่อเดิม เจือ เนตรประไพ เกิดวันที่ 14 พฤษภาคม 2468 ที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม บิดาชื่อ แพ มารดาชื่อ บู อาชีพ ทำสวนทำนา มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 พ.ศ. 2494 ได้อุปสมบทที่วัดกลางบางแก้ว โดยมีหลวงปู่เพิ่ม เป็นพระอุปัชฌาย์ วันที่ 7 ธันวาคม 2497 หลวงปู่เจืออายุ 30 ปี พรรษา 4 ได้รับการแต่งตั้งเป็น พระครูปริยัติธรรม ประจำสำนักวัดกลางบางแก้ว 30 มีนาคม 2504 ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมนักธรรมเอก หลังจากที่ได้ใส่ใจในพระพุทธศาสนา จึงได้แต่งตั้งเป็น พระสมุห์เจือ ปิยสีโล 1 มีนาคม 2528 อายุ 61 ปี ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว จนถึงปัจจุบัน ประวัติเบี้ยแก้
ข้อมูล : จากหน้าพระเครื่อง คม ชัด ลึก มีนาคม 2545